การวิเคราะห์ข้อสอบแบบอื่นนอกเหนือจากแบบเลือกตอบ
รศ.ดร.  บุญชม  ศรีสะอาด*
	คำว่า  การวิเคราะห์ข้อสอบ  มาจากคำว่า  Item  Analysis  หมายถึง  การหาค่าสถิติที่แสดงคุณลักษณะของข้อสอบเป็นรายข้อ  ซึ่งตามทฤษฎีดั้งเดิม  (Classical  Theory)  นิยมหาคุณลักษณะข้อสอบ  2  ชนิด  คือ  ค่าความยาก  (Difficulty)  กับ  ค่าอำนาจจำแนก  (discrimination)  การวิเคราะห์ข้อสอบเป็นเทคนิคที่ทำให้ทราบว่าแต่ละข้อมีความยากเท่าใดและมีอำนาจจำแนกเท่าใด  เพื่อพิจารณาคัดเลือกเอาข้อสอบที่มีคุณลักษณะเข้าเกณฑ์ไปใช้ต่อไป  ในบทความนี้จะกล่าวเฉพาะแนวคิดตามทฤษฎีดั้งเดิม
	ค่าความยาก  หรือ  ความยากง่าย  เป็นค่าที่บอกให้ทราบว่าข้อนั้นยากเพียงใดโดยถือเอาจำนวนผู้ตอบถูกมากน้อยเป็นเกณฑ์  ถ้าถูกหลายคน  จัดว่าเป็นข้อสอบที่ง่าย  ถ้าถูกน้อยคนจัดว่าเป็นข้อที่ยาก  ค่าความยากนิยมเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์  P  มีค่า  .00  ถึง  +1.00  ค่าอำนาจจำแนก  เป็นค่าที่บอกให้ทราบว่า  ข้อนั้นจำแนกกลุ่มผู้สอบได้ดีเพียงใด  (เช่นจำแนกระหว่างกลุ่มสูงกับกลุ่มต่ำ  จำแนกระหว่างกลุ่มผู้สอบผ่านกับกลุ่มผู้สอบไม่ผ่าน  จำแนกระหว่างกลุ่มเรียนแล้วกับกลุ่มยังไม่เรียน  เป็นต้น)  ค่าอำนาจจำแนกเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์หลายอย่างขึ้นกับว่าจะเป็นค่าอำนาจจำแนกชนิดใดหรือหาโดยวิธีของใคร  ค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบ  (Test  Item)  มีค่า  -1.00  ถึง  +1.00
	เมื่อพูดถึงการวิเคราะห์ข้อสอบ  โดยทั่วไปจะหมายถึงการวิเคราะห์ข้อสอบแบบเลือกตอบข้อสอบแบบอื่น ๆ  ไม่นิยมนำมาวิเคราะห์  เนื่องจากข้อสอบแบบเลือกตอบมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดกับการวิเคราะห์คุณภาพรายข้อ  แต่อย่างไรก็ตามเราสามารถทำการวิเคราะห์ข้อสอบแบบอื่น ๆ  ได้ทุกแบบ  ดังจะแยกกล่าวเป็น  2  กรณี  คือการวิเคราะห์ข้อสอบแบบปรนัยอื่น ๆ  กับการวิเคราะห์ข้อสอบแบบอัตนัย
		1.  การวิเคราะห์ข้อสอบแบบปรนัยอื่น ๆ
		เมื่อพูดถึงข้อสอบแบบปรนัย  (Objective)  มักหมายถึงข้อสอบแบบเลือกตอบแบบถูกผิด  แบบจับคู่  และแบบเติมคำ  ข้อสอบแบบปรนัยที่ไม่ใช่ข้อสอบแบบเลือกตอบสามารถนำมาวิเคราะห์หาค่าความยาก  และอำนาจจำแนกได้โดยใช้วิธีการเช่นเกียวกันกับการวิเคราะห์ข้อสอบแบบเลือกตอบ  (กรณีคำตอบถูก)  เพราะข้อสอบแบบถูกผิด  ก็คือข้อสอบแบบเลือกตอบที่มีตัวเลือก  2  ตัว  คือ  ถูกหรือผิด  ข้อสอบแบบจับคู่ก็คือข้อสอบแบบเลือกตอบที่ตัวเลือกลดลงเรื่อย ๆ  ตามจำนวนข้อที่ได้ตอบไปแล้ว  ข้อสอบแบบเติมคำอาจกล่าวได้ว่าเป็นข้อสอบแบบเลือกตอบชนิดหนึ่งที่มีตัวเลือกมากมายไม่จำกัดที่ผู้ตอบ  ต้องเลือกคำตอบ  (คิดตอบ)  ออกมาเอง  ในการวิเคราะห์จะถือเสมือนข้อสอบถูกผิด  ถ้าเติมคำตอบถูกต้องก็เทียบได้กับที่ตอบข้อสอบถูกผิดได้  “ถูก”  จะได้คะแนน  1  คะแนน  และถ้าเติมคำตอบที่ไม่ถูกต้องก็เทียบได้กับที่ตอบข้อสอบถูกผิดได้  “ผิด”  ซึ่งจะไม่ได้คะแนนของข้อนั้น  จากลักษณะดังกล่าวเหล่านี้  ก็สามารถนำผลการสอบของข้อสอบแบบถูกผิด  แบบจับคู่  และแบบเติมคำมาวิเคราะห์หาค่าความยากและอำนาจจำแนก  โดยใช้สูตรและวิธีเดียวกันกับการวิเคราะห์ข้อสอบแบบเลือกตอบ  ซึ่งสามารถศึกษาได้จากหนังสือวัดผลการศึกษาโดยทั่วไป
		2.  การวิเคราะห์ข้อสอบแบบอัตนัย
		ข้อสอบแบบอัตนัย  (Essay)  เป็นข้อสอบที่ให้ผู้สอบเขียนตอบตามความคิดของตนเอง  แม้ว่าโดยทั่วไปจะได้รับการนำไปใช้น้อย  แต่ก้เป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการวัดผลโดยเฉพาะในการวัดเกี่ยวกับความคิดเห็น  เจตคติ  ความสามารถในการคิดสังเคราะห์  (Synthesis)  ความสามารถในการอธิบายให้คนอื่นเข้าใจ  ความสามารถในการบูรณาการความรู้  การวัดในลักษณะเหล่านี้ข้อสอบแบบอัตนัยจะวัดได้ดีมาก  ข้อสอบข้อเขียนพิสดาร  (Comprehensice)  ซึ่งเป็นข้อสอบที่วัดความรู้ขั้นสูงของนิสิตนักศึกษาในระดับปริญญาโท  ปริญญาเอก  ก็ล้วนแต่เป็นข้อสอบแบบอัตนัย  การที่จะตอบข้อสอบชนิดนี้ได้ต้องอาศัยความรอบรู้  ประสบการณ์   และความสามารถในการบูรณาการความรู้
		การวิเคราะห์ข้อสอบแบบอัตนัย  ดำเนินการได้ดังนี้
		1.  ตรวจให้คะแนนข้อสอบแต่ละข้อ  แล้วรวมคะแนนทุกข้อ
		2.  เรียงกระดาษคำตอบจากคะแนนสูงสุดลงมาหาต่ำสุด  คัดเอาเฉพาะผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด  25%  ของทั้งหมด  เป็นกลุ่มสูง  และผู้ที่ได้คะแนนต่ำสุด  25%  ของทั้งหมดเป็นกลุ่มต่ำ  กลุ่มที่เหลือเป็นกลุ่มกลางมีจำนวน  50%  ของทั้งหมด  ในการวิเคราะห์จะใช้เฉพาะผลการสอบของกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำ  ไม่ได้ใช้ผลการสอบของกลุ่มกลาง
		3.  บันทึกคะแนนของแต่ละคนในแต่ละข้อ  ลงในตาราง  โดยแยกตามกลุ่ม  อาจใช้แบบฟอร์มดังในตารางหน้าถัดไป  รวมคะแนนแต่ละข้อของแต่ละกลุ่ม  ในขั้นนี้จะยังไม่มีผลการวิเคราะห์ซึ่งเป็นผลของขั้นที่  4
		จากตารางจะเห็นว่าข้อสอบวิชาวัดผลการศึกษามีจำนวนทั้งหมด  5  ข้อ  คะแนนเต็มข้อละ  10  คะแนน  นิสิตวิชาเอกภาษาไทยที่สอบวิชาวัดผลการศึกษามีจำนวนทั้งหมด  16  คน  จึงมีกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำกลุ่มละ  4  คน  ซึ่งเท่ากับ  25%  ของ  16
		ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดทำได้  42  คะแนน  ตอบข้อ  1  ถึง  ข้อ  5  ได้คะแนนตามลำดับดังนี้  9,  8,  7,  8,  10  ผู้ที่ได้คะแนนต่ำสุดทำได้  16  คะแนน  ตอบข้อ  1  ถึงข้อ  5  ได้คะแนนตามลำดับดังนี้  2,  3,  2,  7,  2   ข้อ  1  มีกลุ่มสูงทำได้คะแนนรวมทั้งหมด  33  คะแนน  กลุ่มต่ำทำได้  16  คะแนน
ตารางวิเคราะห์ข้อสอบแบบอัตนัยวิชาวัดผลการศึกษา  นิสิตปีที่  3  วิชาเอกภาษาไทย
ข้อ	1	2	3	4	5	รวม
ผู้สอบ						
กลุ่มสูง	1
2
3
4	9
8
8
8	8
8
7
7	7
6
6
6	8
7
7
6	10
10
9
9	42
38
37
36
	รวม	33	30	25	28	38	
กลุ่มต่ำ	1
2
3
4	5
5
4
2	5
5
6
3	5
3
3
2	7
8
6
7	5
4
3
2	27
25
22
16
	รวม	16	19	13	28	14	
ผลการวิเคราะห์รวม	P	.61	.61	.47	.70	.65	
	D	.42	.27	.30	.00	.60	
	หมายเหตุ  ข้อมูลในตารางเป็นข้อมูลสมมุติ  ซึ่งกำหนดจำนวนคนน้อยคนเพื่อให้สามารถเข้าใจวิธีการได้ง่าย  ในการวิเคราะห์จริงควรมีจำนวนทั้งหมดไม่ต่ำกว่า  40  คน
		4.  หาค่าความยากและอำนาจจำแนก  โดยใช้สูตรดังนี้
			ค่าความยากหาจากสูตร
P  =     …..(1)
			ค่าอำนาจจำแนกหาจากสูตร
D  =    …..(2)
			เมื่อ  P  แทน  ค่าความยาก
			D  			แทน  	ค่าอำนาจจำแนก
			   	แทน  	ผลรวมของคะแนนกลุ่มสูง
			   	แทน  	ผลรวมของคะแนนกลุ่มต่ำ
			N  			แทน  	จำนวนคนในแต่ละกลุ่ม
			M  		แทน  	คะแนนเต็ม
	หรือ  เขียนในรูปข้อความได้ดังนี้
ค่าความยาก  =   
ค่าอำนาจจำแนก  =   
ตัวอย่างการหาค่าความยากของข้อ  1
P  =   
ความยากของข้อ  1  =  .61
ตัวอย่างการหาค่าอำนาจจำแนกของข้อ  1
D  =   
อำนาจจำแนกของข้อ  1  =  .42
	นำค่าความยากและค่าอำนาจจำแนก  บันทึกลงในตาราง  ผลจากการหาค่าความยากและอำนาจจำแนกของข้อสอบแต่ละข้อ  ตามสูตร  1  และ  2  ตามลำดับ  แสดงไว้ในตาราง  แสดงว่าข้อ  1,  2,  3,  ละ  5  มีคุณภาพเหมาะสม  ข้อ  4  ถึงแม้ว่าค่าความยากจะใช้ได้  แต่ไม่มีอำนาจ  จึงเป็นข้อที่ใช้ไม่ได้
	หมายเหตุ  ค่าความยากที่เหมาะสม 	=  .20  ถึง  .80
				  ค่าอำนาจจำแนกที่เหมาะสม	=  .20  ถึง  1.00
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น